ทำความรู้จัก SGE คืออะไร อนาคตใหม่ของ SEO

ในยุคที่เทคโนโลยีและการตลาดดิจิทัลมีการพัฒนาอยู่เสมอ นักการตลาดจึงจำเป็นต้องปรับตัวและก้าวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง หนึ่งสิ่งที่นักการตลาดหลายคนกำลังให้ความสนใจอยู่ในตอนนี้ คือ ฟีเจอร์ใหม่ในการค้นหาของ Google นั่นคือ Search Generative Experience (SGE) ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ผู้ใช้งานได้คำตอบที่ง่ายและรวดเร็วมากกว่าเดิม

นักการตลาดหลาย ๆ คนมีความกังวลว่าในอนาคตจะส่งผลกระทบต่อการทำ SEO แบบเดิมหรือไม่ และพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้ใช้งานจะเป็นไปในทิศทางไหน ร่วมไขข้อสงสัยและหาคำตอบกันได้ที่บทความนี้!

SGE คืออะไร

Search Generative Experience หรือ SGE คือ ฟีเจอร์ AI ตัวใหม่ของ Google ที่ใช้ Large Language Model (LLM) และ Natural Language Processing (NLP) โดยใช้ Conversational Mode ในการสื่อสารกับผู้ใช้งาน ตอบกลับแบบ Real-time และให้ผลลัพธ์ที่ Personalized ตามความต้องการของแต่ละคน เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานค้นหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและตรงตามความต้องการ ซึ่งฟีเจอร์นี้จะทำความเข้าใจคำถามของผู้ใช้งานและตอบกลับด้วยคำตอบที่สรุปสาระสำคัญ พร้อมลิงก์ไปยังผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้อง

Search Engine Optimization หรือ SEO คือ การปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์เพื่อให้ได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหา บน Search เช่น Bing , Yahoo และ Google เป็นต้น

การทำ SEO หรือ Inbound Marketing เป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับการตลาดออนไลน์มทั้ง On page และ Off Page ช่วยให้เว็บไซต์มีโอกาสปรากฏและได้รับความสนใจจากผู้ใช้มากขึ้น ส่งผล Organic Traffic มียอดผู้เข้าชมและยอดขายเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

องค์ประกอบหลักของ SGE

1. แชทบอทที่ใช้กฎ (Rule-Based Chatbot)

การวิเคราะห์ Keyword เชิงลึกด้วย AI สามารถเข้าใจเจตนาของผู้ใช้งานได้มากขึ้น การใช้ Technical SEO ทำให้ผลลัพธ์ On Page SEO มีความแม่นยำและตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน

2. คุณภาพของเนื้อหา

Search Generative Experience ให้ความสำคัญกับคุณภาพของเนื้อหาค่อนข้างมาก ดังนั้นในการทำ SEO จึงต้องใส่ใจเรื่องคุณภาพของเนื้อหามากขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสร้างเนื้อหาที่มีภาษาที่เข้าใจง่าย คล้ายกับการสนทนาทั่วไป

3. การปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ (UX)

การนำ AI มาปรับปรุง UX ทำให้การนำเสนอข้อมูลในหน้าเว็บไซต์มีความเข้าใจง่ายและมีการโต้ตอบที่ดี ซึ่งช่วยเพิ่มความพึงพอใจและการเข้าชม หากเว็บไซต์ของเราใช้งานง่ายและสะดวกในการค้นหาข้อมูลของ Google ก็จะทำให้ระบบดึงข้อมูลไปตอบคำถามนั้นได้

4. การเรียนรู้และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

Google ไม่ได้หยุดอยู่ที่การนำเสนอหรือการให้ข้อมูลเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีการเรียนรู้จากการโต้ตอบกับผู้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การค้นหาให้ดียิ่งขึ้น

5. ปัญหาเชิงเทคนิคที่ต้องระวัง

มีการคาดคะเนว่าฟีเจอร์ใหม่ของ Google จะให้ความสำคัญของ Keyword Research นั้นลดลง เนื่องจากระบบสามารถเข้าใจบริบทของคำถามและการตอบรับได้มากกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการสร้างเนื้อหาที่มีภาษาที่เข้าใจง่าย คล้ายกับการสนทนาทั่วไป

ผลกระทบของ SGE ที่มีต่อ SEO

1. การเน้นคุณภาพเนื้อหา

เนื้อหาที่มีคุณภาพสูงและตรงกับคำค้นหาจะมีโอกาสในการปรากฏในหน้า Google Search มากขึ้น ทำให้นักการตลาดที่ทำ SEO จึงจำเป็นต้องละเอียดในการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

2. การเพิ่มความสำคัญของ UX

ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีจะเป็นปัจจัยสำคัญในการทำ SEO นักการตลาดต้องใส่ใจในเรื่องของการออกแบบเว็บไซต์ให้ดูสวยงาม ตอบสนองรวดเร็วและใช้งานง่าย

3. การใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูล

นักการตลาดควรใช้เครื่องมือ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของผู้ใช้งาน ซึ่งจะช่วยในการปรับปรุงกลยุทธ์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

หากใครอยากแซงคู่แข่งด้วยการทำ SEO  IDM Council ได้เปิดคอร์ส “SEO & WEBSITE OPTIMIZATION” สอนโดยอาจารย์ที่ได้การรับรองมาตรฐานความรู้จากสถาบันระดับโลก ซึ่งปัจจุบันทำงานทางด้าน Online Marketing มีประสบการณ์ตรง พร้อมให้คำปรึกษาตลอดทั้งคลาส IDMCouncil พัฒนาทักษะ เติมเต็มศักยภาพ สู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน

สรุป

ในอนาคต SGE จะส่งผลกระทบต่อการทำ SEO อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านคุณภาพของเนื้อหาความสำคัญของ Keyword และโครงสร้างเว็บไซต์ ซึ่งจะเปลี่ยนจากการแข่งขัน Keyword ไปสู่การแข่งขันด้านการสร้างประสบการณ์และเนื้อหาคุณภาพสำหรับผู้ใช้งานมากขึ้น