Voice Search สำคัญอย่างไรกับการทำ SEO
Voice Search สำคัญอย่างไรกับการทำ SEO

Voice Search ส่งผลกระทบอย่างไรกับการทำ SEO

Google ได้ระบุแล้วว่าเสียงเป็นรูปแบบการค้นหาที่เติบโตเร็วที่สุด และได้ลงทุนอย่างมากในแนวคิดนี้ เนื่องจากมีผู้คนจำนวนมากที่ต้องพึ่งพาเสียง เจ้าของเว็บไซต์จึงตระหนักถึงความสำคัญของการค้นหาประเภทนี้ ซึ่งในปัจจุบันเทรนด์ค้นหาด้วยเสียงมีแนวโน้มสูงขึ้นมากกว่า 12.8 พันล้านต่อเดือน การทำการตลาดเพื่อการค้นหา จึงจำเป็นต้องตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้ค้นหาข้อมูล เมื่อคนส่วนใหญ่เริ่มค้นหาด้วยเสียงมากขึ้น ดังนั้นการทำ Voice Search Optimization (VSO) จึงมีความสำคัญมากขึ้นด้วย และนักการตลาดต้องเลือกใช้ Keyword Tool หรือ Long-tail Keyword ที่รองรับกับระบบการค้นหาด้วยเสียง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันของธุรกิจ

ข้อเท็จจริงนี้หมายความว่าผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO หรือนักการตลาด จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อดึงดูดกลุ่มผู้ค้นหาที่กำลังจะเติบโตอยู่นี้ เท่านั้นยังไม่พอ การจัดอันดับการค้นหาด้วยเสียงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะผลลัพธ์สูงสุดที่จะแสดงในรายการมีเพียงแค่ 1-3 รายการ ต่อข้อความสำหรับการค้นหาเท่านั้น หากต้องการไปยังจุดนั้น คุณจำเป็นต้องมีเนื้อหาที่ครอบคลุมและการทำ SEO ที่ดี  

ในยุคปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงและอัปเดตข้อมูลดิจิทัลอยู่ตลอดเวลา ความรู้ที่มีอยู่ของนักการตลาดสาย SEO หรือ Marketing SEO คงไม่เพียงพอต่อการนำไปใช้งาน ซึ่งทางออกที่หลายๆคนทำอยู่ในตอนนี้คือ การหาความรู้ SEO เพิ่มเติม หรือบางคนเรียน SEO และหาคอร์สเรียน SEO เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่พวกเขาขาดอยู่ และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในยุคที่ดิจิทัลหรือสื่อต่างๆเข้าถึงเด็กคนรุ่นใหม่ ส่งผลให้เด็กรุ่นใหม่มีความสนใจในด้านดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น และนั่นหมายความว่าคู่แข่งของคุณก็จะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย หากคุณไม่หมั่นหาความรู้เพิ่มเติม คุณเองก็อาจจะเสี่ยงตกงานได้เช่นกัน

Voice Search คืออะไร ?

Voice Search

Voice Search คือการใช้เสียงเพื่อค้นหาข้อมูลหรือเรียกใช้บริการต่าง ๆ บนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยส่วนใหญ่เป็นการค้นหาบนเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันที่รองรับการใช้งานด้วยเสียง คุณสามารถใช้เสียงของคุณในการสั่งการหรือพูดคำค้นหาเพื่อหาข้อมูลที่ต้องการ โดยไม่จำเป็นต้องพิมพ์ข้อความลงในช่องค้นหา ตัวอย่างที่ทุกคนคุ้นหูและเคยใช้คือ Siri จาก Apple , Google Assistant จาก Google, Alexa จาก Amazon, หรือ Cortana จาก Microsoft ซึ่งเป็นตัวอย่างของเทคโนโลยีการค้นหาด้วยเสียงที่รู้จักกันดีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

Voice Search มีข้อดีกว่า Text Search อย่างไร ?

Voice Search

เนื่องจากการค้นหาด้วยเสียงสามารถทำได้ทุกที่ ไม่ว่าจะกำลังขับรถ ดูทีวี ทำอาหาร ออกกำลังกาย หรือแม้กระทั่งอาบน้ำ ซึ่งต่างจากการพิมพ์ที่ต้องไม่มีความสั่นสะเทือนอยู่ ณ ขณะนั้น ทำให้คำค้นหามักเป็นคำที่สั้นที่สุด ในขณะที่การค้นหาด้วยเสียงมีความสามารถที่สูงกว่า สามารถค้นหาได้รวดเร็ว ง่ายกว่า และเป็น Keyword ที่ยาวเป็นประโยคมากกว่า Text Search

ทำไมต้องเพิ่มประสิทธิภาพการทำ Voice Search

Voice Search

การเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาด้วยเสียง คือ เทคนิคอย่างนึงของการทำ SEO ที่ทำให้เนื้อหาของคุณมีแนวโน้มที่จะปรากฏในผลการค้นหาเพิ่มมากขึ้น เป้าหมายของการเพิ่มประสิทธิภาพด้วยเสียงคือ จัดการคำค้นหาที่ซับซ้อน เพิ่มความแม่นยำในการเข้าใจคำพูด ความรวดเร็วและประสิทธิภาพในการตอบสนอง

แนวทางการปฏิบัติในการเพิ่มประสิทธิภาพ Voice Search

Voice Search

1. กำหนดเป้าหมายหลัก Keywords หรือ Long – tail Keywords

การค้นหาด้วยเสียง Voice Search มักจะใช้คำที่แตกต่างจากการค้นหาข้อความ  คำถามเหล่านี้มักยาวกว่า เฉพาะเจาะจงกว่า และน่าจะเป็นคำถามแบบเต็มมากกว่าคำหลักง่ายๆ เมื่อเราพูด เราคุ้นเคยกับการใช้ประโยคที่มีรายละเอียดมากกว่าที่เราพิมพ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับการค้นหาด้วยเสียง หนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้คือการกำหนดเป้าหมาย Long – tail Keywords โดยเฉพาะคำหลักที่เป็นลักษณะคำถาม ในเนื้อหาของคุณ เมื่อทำเช่นนี้ คุณจะจับการเข้าชมจากผู้ใช้ที่ส่งคำค้นหาที่ยาวกว่าและเจาะจงมากขึ้น 

เมื่อระบุ Long – tail Keywords คุณสามารถใช้ประโยชน์จาก Keyword Research Tools เพื่อค้นหาคำหลักที่เกี่ยวข้องมากที่สุดสำหรับลูกค้าเป้าหมายของคุณและเพื่อดูว่าคำถามใดที่ผู้ชมของคุณถามมากที่สุด ป้อนการค้นหาเกี่ยวกับธุรกิจของคุณและ Google จะแนะนำสิ่งเหล่านั้นให้กับคุณ

2. ใช้ระดับภาษาไม่เป็นทางการในเนื้อหาของคุณ

 ควรให้เนื้อหาของคุณเป็นบทสนทนาที่ไม่เป็นทางการ มีความเป็นกันเอง ง่ายต่อการทำความเข้าใจ เพื่อตอบสนองต่อผู้ใช้งาน รูปแบบการเขียนที่ไม่เป็นทางการจะถูกตีความว่าเกี่ยวข้องกับข้อความค้นหาที่มากกว่าการเขียนที่ดูเป็นทางการ Google ยังคงให้ความสำคัญกับผู้ใช้งานและเนื้อหาที่มีคุณภาพ เพราะฉะนั้นคุณควรเขียนโดยใช้ระดับภาษาที่ไม่ทางการเพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ต้องดูแลให้เนื้อหาน่าพึงพอใจและให้คุณค่าแก่ผู้ใช้งาน 

3. จัดลำดับความสำคัญของ SEO ในพื้นที่ 

การระบุ SEO ในพื้นที่เป้าหมาย คือกระบวนการปรับปรุงการแสดงผลของเครื่องมือค้นหาสำหรับธุรกิจในท้องถิ่นหรือพื้นที่นั้นๆ ตามหลักแล้วจะเป็นธุรกิจที่มีหน้าร้านจริง SEO ในพื้นที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจเหล่านี้ เนื่องจากการกำหนดเป้าหมายไปยังผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าในพื้นที่ใกล้เคียงซึ่งมีแนวโน้มจะซื้อสูง 

4. พยายามจับภาพตัวอย่างข้อมูลแนะนำของ Google 

ตัวอย่างข้อมูลแนะนำของ Google คือเนื้อหาสั้นๆ ที่แสดงในหน้าผลลัพธ์ของ Google ซึ่งผลการค้นหาทั่วไปมักจะถูกดึงมาจากหน้าเว็บที่มีอันดับสูงสำหรับข้อความค้นหา และหากบันทึกได้ก็สามารถเพิ่มการเข้าชมได้มาก อาจปรากฏเป็นย่อหน้า รายการลำดับเลขหรือสัญลักษณ์แสดงหัวข้อย่อย หรือรูปแบบอื่นๆ สิ่งนี้เกี่ยวข้องการกับค้นหาด้วยเสียง เนื่องจากหากมีตัวอย่างข้อมูลแนะนำสำหรับข้อความค้นหา ผู้ช่วยเสมือนอาจจะอ่านตัวอย่างข้อมูลแนะนำข้อมูลนั้นเป็นคำตอบให้กับผู้ใช้งานด้วยเสียงได้ 

5. ใช้ Schema Markup 

Schema Markup คือ ข้อมูลที่มีโครงสร้างประเภทหนึ่ง โดยพื้นฐานแล้วเป็นโค้ดที่คุณสามารถเพิ่มลงใน HTML ของเว็บไซต์ ซึ่งช่วยให้ Google และเครื่องมือค้นหาอื่นๆ แสดงผลลัพทธ์ที่มีรายละเอียดมากขึ้น โดยทั่วไปแล้ว Schema Markup จะมีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ รวมถึงเวลาทำการ ที่อยู่ ข้อมูลติดต่อ ข้อมูลราคา รีวิวและอื่นๆ

 Schema Markup จะไม่ปรากฏแก่ผู้เข้าชมที่เป็นผู้ใช้งาน แต่จะให้บอทจัดทำดัชนีเข้าใจเนื้อหาของคุณได้ดีขึ้น ปรับรุงการมองเห็นในผลการค้นหา และทำให้คุณได้ Click! ที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเครื่องมือค้นหามองว่า On-Page ของคุณมีโอกาสมากขึ้นในการค้นหาด้วยเสียง 

6. เพิ่มประสิทธิภาพสำหรับใช้งานบนมือถือ

Google ถือว่าประสบการณ์ของผู้ใช้บนมือถือเป็นส่วนสำคัญของเว็บไซต์ที่ดีและนำมาพิจารณาในการจัดอันดับ หากต้องการค้นหาผลลัพธ์ทั้งข้อความและเสียง ให้ใช้การออกแบบที่ตอบสนองตามอุปกรณ์และค้นหาวิธีอื่นๆ ในการทำเว็บไซต์ของคุณเหมาะกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่ช่วยให้คุณแข่งขันในการค้นหาด้วยเสียงได้

7. ทำให้เว็บไซต์ของคุณเร็วการเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ เวลาในการโหลดเว็บเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการจัดอันดับของ Google ที่ส่งผลต่อการแสดง On-Page ของคุณในผลการค้นหาด้วยเสียงและอื่นๆ มีวิธีการปรับปรุงเว็บไซต์มากมายที่คุณสามารถทำได้เพื่อเพิ่มความเร็วให้กับเว็บไซต์ของคุณ Keyword Tool ที่ใช้ในการตรวจสอบความเร็วของเว็บไซต์ เช่น Pingdom Speed Test , Website Grader เป็นต้น

อยากเรียน SEO ควรเลือกเรียนสถาบันไหนดี ?

Voice Search

ปัจจุบันมีสถาบันที่เปิดสอน SEO มากมายให้คุณได้เลือก แต่คุณควรเลือกคอร์สที่ตรงกับความต้องการและวัตถุประสงค์ของคุณ หลายคนมักเรียน SEO เพื่อพัฒนาธุรกิจ เพื่อสร้างสื่อโฆษณาออนไลน์หรือเพื่อเป็นตัวแทนในการทำ SEO ให้กับลูกค้า สถาบันก็เป็นส่วนสำคัญใหญ่ๆในการเลือกเรียน ซึ่งสถาบันที่มีชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือ มักจะให้คุณภาพของคอร์สอบรมที่มีคุณและเน้นการสอนที่ตรงกับความต้องการของผู้เรียนได้มากที่สุด

IDM Council เป็นสถาบันสอน Digital Marketing ที่เปิดอบรมทางด้าน Internet And Online Marketing สอนโดยผู้มีประสบการณ์ตรงด้านการตลาดดิจิทัล พร้อมแนะนำกลยุทธ์การตลาด และเคล็ดลับทางลัดสู่ความสำเร็จ เรียนจบรับใบประกาศนียบัตรจากสถาบันด้าน Digital Marketing ระดับโลก “International Board of Digital Marketing” สามารถเลือกเรียนแบบ Hybrid แบบ Onsite หรือชม Live พร้อมกันทาง Online โดยคอร์สเรียน SEO จะสร้างความเข้าใจถึงเรื่องของ Search Engine Optimization (SEO) และวิธีการทำให้ติดอันดับต้นๆรวมไปถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพที่ดีมากยิ่งขึ้น

สรุป

Voice Search คือเทคโนโลยีในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งเป็นประโยชน์ที่จะใช้ในการจัดอันดับการค้นหาที่เพิ่มขึ้น สามารถทำได้โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาด้วยเสียง หากคุณต้องการให้มีอันดับที่ดีกว่าคู่แข่ง คุณควรเพิ่มกลยุทธ์ทางการตลาดที่ทำให้ SEO เสียงมีประสิทธิภาพ เพื่อให้อันดับการค้นหาด้วยเสียงเพิ่มขึ้น